top of page

โลชั่นกันแดด


หน้าร้อนมาเยือนแล้ว หลายคนคงวางแผนที่จะพักร้อนและพาเด็กๆซึ่งอยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่พอดีออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน โดยเฉพาะชายทะเล เป็นสถานที่อันดับหนึ่งที่เราๆท่านๆอยากจะไปพักผ่อนกัน แน่นอนว่าไปทะเลทั้งที ถ้าไม่ลงเล่นน้ำหรือเดินเล่นที่ชาดหาดก็ไม่รู้ว่าจะไปทำไม..จิงป่ะ.. แต่การที่จะไปอยู่ในที่กลางแจ้งนานๆนั้น แสงแดดเป็นตัวอันตรายชนิดนึง ที่เราควรหาทางป้องกันเอาไว้ มิฉะนั้นมันอาจทำให้ผิวหนังของเราไหม้ได้ง่ายๆ และบางท่านที่ผิวบาง อาจเลยเถิดเรื้อรังไปถึงการเป็นมะเร็งที่ผิวหนังก็ได้ ดังนั้นโลชั่นกันแดดจึงเป็นตัวช่วยที่สำคัญ ในการที่จะปกป้องผิวของเราจากรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดได้เป็นอย่างดี แต่โลชั่นกันแดดมีมากมายหลายชนิด มีค่า SPF ต่างกัน เช่น SPF 15, SPF30, SPF 50 หรือบางอย่างก็ระบุว่าป้องกัน UV, UVA&UVB หรือบางอย่างก็ไม่ได้ระบุอะไร เลยทำให้หลายท่านไม่แน่ใจว่าจะเลือกซื้อแบบไหนดี และแต่ละแบบมันต่างกันยังไง วันนี้เลยมาไขข้อข้องใจให้ทราบกันว่า โลชั่นกันแดดแต่ละชนิดต่างกันอย่างไร และวิธีใช้ที่ถูกต้องควรทำยังไง ไปเริ่มกันเลยนะคะ ค่า SPF คืออะไร ? SPF ย่อมาจากคำว่า Sun Protection Factor เป็นค่ามาตรฐานที่ทางองค์การอนามัยโลกกำหนดขึ้น เพื่อใช้วัดสูตรการผลิตของเจ้าของสินค้าว่าอยู่ในมาตรฐานใด ซึ่งโดยปกติผิวหนังคนเราจะทนต่อแสงแดดจัดๆได้ประมาณแค่ 10 นาที ถ้าหลังจากนั้นแล้วจะเริ่มมีอาการไหม้เป็นผื่นแดง จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน ส่วนค่าของ SPF นั้นจะบอกถึง"จำนวนเท่า"ของระยะเวลาที่ผิวหนังสามารถทนแดดได้จากเวลาปกติที่ไม่ได้ใช้โลชั่นกันแดด เช่น SPF 15 จะทนแดดได้นานเท่ากับ 10 นาที(เวลาปกติที่ไม่ใช้โลชั่น) X 15 เท่า = 150 นาที นั่นหมายถึงว่าจะทำให้ผิวหนังของเราอยู่ที่กลางแดดโดยไม่ไหม้ได้นานประมาณ 150 นาที (2 ชั่งโมงครึ่ง)

แต่ข้อความสำคัญที่ผู้ผลิตมักจะไม่ใส่ไว้บนฉลาก หรือถ้าใส่ไว้ก็ตัวเล็กมาก ก็คือค่า % โฟตอน (Photons) ในแสงแดดที่สามารถผ่านทะลุโลชั่นกันแดดมาถึงผิวหนังของเราได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีค่ามาตรฐานดังนี้

SPF15 จะอยู่ที่ 93 % ค่าดังกล่าวหมายความว่า SPF15 จะสามารถกันโฟตอนในแสงได้ 93 % ส่วนโฟตอนที่เหลืออีก 7 % สามารถทะลุถึงผิวหนังเราได้ SPF30 จะอยู่ที่ 97 % ค่าดังกล่าวหมายความว่า SPF30 จะสามารถกันโฟตอนในแสงได้ 97 % ส่วนโฟตอนที่เหลืออีก 3 % สามารถทะลุถึงผิวหนังเราได้ SPF50 จะอยู่ที่ 98 % ค่าดังกล่าวหมายความว่า SPF50 จะสามารถกันโฟตอนในแสงได้ 98 % ส่วนโฟตอนที่เหลืออีก 2 % สามารถทะลุถึงผิวหนังเราได้

จะเห็นได้ว่า SPF30 สามารถกันแสงได้มากกว่า SPF15 เพียงแค่ 4 % เท่านั้น (97 % - 93 %) ไม่ใช่ว่ากันได้มากกว่าเป็นเท่าตัวอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน (ผู้ผลิตหลายรายมักฉวยโอกาสนี้ขาย SPF30 แพงกว่า SPF15 เป็นเท่าตัวก็มี) และในสหรัฐจะห้ามติดฉลากเกินกว่า SPF50 เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีโลชั่นกันแดดชนิดไหนที่จะสามารถกันแดดได้ 100 % โฟตอนในแสงแดดยังไงก็ยังสามารถทะลุผ่านโลชั่นได้ประมาณเกือบ 2 % อยู่ดี

UVA & UVB ในแสงแดดจะมีรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) ประกอบอยู่หลายชนิด แต่มีอยู่ 2 ชนิดที่เป็นอันตรายต่อผิวหนังของเราคือ

รังสีอัลตราไวโอเลตชนิด A (Ultraviolet A ) หรือเรียกย่อๆว่า UVA UVA เป็นคลื่นรังสีขนาดยาว มีความยาวคลื่น 315-400 nm (นาโนเมตร) สามารถทะลุเซลผิวหนังในชั้นที่ลึกกว่ารังสี UVBและเป็นสาเเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง รังสีอัลตราไวโอเลตชนิด B (Ultraviolet B )หรือเรียกย่อๆว่า UVB UVB เป็นคลื่นรังสีขนาดปานกลาง มีความยาวคลื่น 280-315 nm (นาโนเมตร) เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวหนังชั้นบนสุดไหม้และเป็นผื่นแดงหรือพองลอก

วิธีใช้โลชั่นกันแดดอย่างถูกต้อง

1.เราทุกคนควรใช้โลชั่นกันแดดเป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันรังสี UV จากแดด เพราะแม้จะทำงานในที่ร่ม แต่ถ้านั่งใกล้หน้าต่างหรือมีแสงแดดส่องถึง เราก็จะได้รับอันตรายจากรังสี UV ได้เช่นกัน ขนาดวันที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน แสง UVยังสามารถทะลุชั้นบรรยากาศมายังพื้นโลกได้ถึง 40 % ส่วนเด็กทารกที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน ไม่ควรใช้โดยเด็ดขาด เพราะผิวของทารกจะบอบบางเกินกว่าที่จะใช้สารสกัดใดๆทั้งสิ้น และโดยทั่วไปแล้วทารกน้อยเช่นนั้นก็มักจะอยู่แต่ในที่ร่มหรือในห้องเกือบตลอดเวลาอยู่แล้ว

2. ควรทาโลชั่นกันแดดประมาณ 30 นาทีก่อนที่จะออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อให้โลชั่นได้มีเวลาซึมเข้าไปปกป้องใต้ผิวหนังได้อย่างทั่วถึง 3. ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่งโมง ถึงแม้จะใช้ SPF 30 หรือ SPF 50 ที่ตามทฤษฎีจะอยู่ได้นานประมาณ 300 นาที (5 ชั่วโมง) หรือ 500 นาที (8 ชั่วโมงครึ่ง)ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงจากผลการวิจัยพบว่า โลชั่นกันแดดทุกชนิดจะทำงานได้ผลอย่างเต็มประสิทธิภาพในระยะเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นความสามารถในการป้องกันรังสี UV จะลดลงเรื่อยๆ 4. จากผลการวิจัยพบว่าคนทั่วไปจะใช้โลชั่นกันแดดเพียง 1/4 หรือ 1/2 ของปริมาณที่ใช้แล้วจะได้ผลในการป้องกันจริงๆเท่านั้น ส่วนปริมาณที่ถูกต้องนั้น เราควรทาโลชั่นครั้งละประมาณ 30 ml หรือกะแบบคร่าวๆก็ประมาณ 4-5 ฝ่ามือ

5. ถ้าลงเล่นน้ำหรือเล่นกีฬากลางแจ้งที่มีเหงื่อออกมาก ควรใช้โลชั่นที่มีคำระบุว่า "Water Resistant" หรือ "Sport" เพราะโลชั่นทั้ง 2 แบบนี้ จะมีคุณสมบัติป้องกันน้ำได้ ทำให้เนื้อโลชั่นไม่ละลายไปกับน้ำหรือเหงื่อ แต่ถึงอย่างไรก็ดี หลังจากขึ้นจากน้ำหรือเล่นกีฬาเสร็จแล้ว และต้องการอยู่กลางแจ้งต่อไป ควรเช็ดตัวให้แห้งหรือหมาดๆ แล้วทาโลชั่นกันแดดซ้ำทันทีทั้งนี้เพราะประสิทธิภาพในการป้องกันแสง UVของโลชั่นกันแดดจะลดลงอย่างมากหลังถูกน้ำหรือเหงื่อ ถึงแม้จะเป็นโลชั่นแบบกันน้ำก็ตามที เป็นไงคะ คราวนี้คงเลือกช้อปโลชั่นกันแดดกันได้อย่างสบายๆ และไปเที่ยวทะเลได้อย่างหายห่วง ไม่ต้องกังวลกับรังสี UV ในแดดอีกต่อไปแล้วนะคะ >ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.skincancer.org/ <

bottom of page